ทำยังไงถึงจะเป็นคนเก่งในระดับสากล ไปที่ไหนบนโลกก็มีแต่โอกาส

Chonlicious
2 min readSep 22, 2022

--

อันนี้เราแชร์เท่าที่เราได้ reflect กับตัวเอง ใครมี input อีกมามาช่วยกัน brainstorm ดีกว่า ทุกคนที่ได้อ่านจะได้เก่งปังๆๆๆๆ กันไปถ้วนหน้า ต่อไปนี้คนไทยจะต้องไม่แพ้ชาติใดในโลก!!!!

  1. จงส่งเรซูเม่เป็นภาษาท้องถิ่นเสมอ

ที่สวีเดนถ้าไม่ใช่บริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เช่น IKEA, Volvo etc. นั้นเห็นเป็นภาษาอังกฤษเขาทิ้งหมด

คนไปสวีเดนปีแรกๆ หลายคนงงว่าทำไมตัวเองถึงไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์งานบริษัทสักที (ในกรณีที่ไม่ใช่สาย STEM) เพื่อนคนอินโดที่ทำเอเจนซี่เล่ามาว่าพอเริ่มส่งเรซูเม่เป็นสวีดิชเขาถึงจะตอบ ภาษาอังกฤษเขาไม่อ่านเลย นกงานอยู่เป็นปี

2. มองหาโอกาสใหม่ๆ เสมอ

ฟอลโล่ว์ทุกองค์กร ทุกคลับ ทุกคนที่น่าสนใจบนลิ้งค์อินกับไอจี เข้าแฮชแท็กโรงเรียนไปแอดเพื่อนห้องอื่นๆ สาขาอื่นๆ ลองฟอลดูสักพักแล้วชวนเขาคุย ชวนเขาไปกินข้าว อยากรู้จักใครทักไปเลย ไม่ต้องเขินอาย คนอื่นเขาก็มองหาโอกาสผ่านเราเหมือนกัน 555

เข้าทุกคลับ ทุกแก๊งค์ ทุกอีเว้นต์ แล้วคุยกับเขาให้ครบทุกคน ทำความรู้จักทุกคนให้มากที่สุดไปในแนวราบ ถึงไม่ได้โอกาส ไม่ได้เน็ตเวิร์ก ผิดหวังไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ก็ได้พัฒนาทักษะด้าน “คน” เราจะอ่านคนเก่งขึ้น มี empathy สูงขึ้น รู้จักผูกมิตรกับคนที่พึ่งพากันได้ รู้หลบรู้หลีกคนที่ไม่ใช่ สกิลนี้จะทำให้เราเฟียร์ซขึ้น พอเริ่มวางตัวเป็น เข้าสังคมเป็นเราจะมั่นใจในตัวเองดั่งนางพญาหงส์ เอาไปใช้ในการทำงานได้ สรุปมีแต่ได้กับได้

ขยันเน็ตเวิร์กก็จริง แต่ทำด้วยความจริงใจ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้คนรอบตัวอยู่เสมอ ชื่นชมความสำเร็จและหยาดเหงื่อของคนอื่น ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน

เวลาไปเน็ตเวิร์กให้ชวนคุย ถามเยอะๆ ทำไงก็ได้ให้คนที่เราคุยด้วยพูดเยอะๆ คิดไว้เสมอว่าเขาก็อายที่จะทักเราเหมือนกัน ถ้าเราไม่อาย เริ่มก่อน เราจะได้เปรียบ

ใส่เสื้อผ้าที่ทำให้เขาจำเราได้ เช่น กระโปรงผ้ามันสีน้ำเงินเลื่อม ตัวนี้เราใส่ไปเน็ตเวิร์กทุกงาน เพราะมันแวววาว มันสะท้อนไฟร้านบาร์ตอนกลางคืน และเป็นจุดสังเกตท่ามกลางผู้คน

3. ก่อนจะเรียนรู้สกิลใหม่ต้องแพลนเส้นทางและเป้าหมายก่อน และต้องมีสกิลในการตั้งคำถามที่ดี

เวลาไปฟิตเนสเรายังมีเทรนเนอร์เลย แล้วทำไมเราไม่ทำแบบเดียวกันบ้างกับเรื่องงาน ใส่พอร์ตจะทำกี่ชิ้น แต่ละชิ้นหน้าตายังไง

(ส่วนมากแล้วแต่สาขาในแอนิเมชั่น ถ้าทำ commercial ต้องทำโฆษณาสินค้าปลอมๆ แต่ใช้โมเดลคนอื่นได้ ทำสายเกมมิ่งต้องปั้นโมเดลเอง คนเดียวทำทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ)

จะเอาพอร์ตแบบนี้ต้องทำวันละกี่ชั่วโมง มีเรื่องอะไรที่ต้องเรียนรู้บ้าง เรื่องไหนเรียนก่อนหลัง และนอกจากนี้เองเราต้องมีระบบในการ QC งานของตัวเองด้วย จะรู้ได้ยังไงว่าเราดีพอ ทั้งในแง่ของคุณภาพงานและวินัยในตัวเอง

เรารีสกิลเป็น 3D Artist/Motion Designer แล้วมีเวลาจำกัดมากในการเรียนเพราะบ้านอยู่ไกลโรงเรียนและต้องรีบหางานประจำก่อนวีซ่าหมด เราเลยว่าเราต้องแพลน ให้ไปทำของแข่งกับเพื่อนคนอื่นๆ ระหว่างเรียนเราสู้ไม่ไหวหรอก มวยคนละสังเวียนกัน เราต้องสู้ในสนามของเรา

เราเลยเน็ตเวิร์กกับครูทุกคนที่โรงเรียนเชิญมาสอน แล้วไปปรึกษา ขอเคล็ดลับ ขอเทคนิคเขา จบคอร์สแล้วต้องมีกรอบให้ตัวเองฝึกตามได้ มีคนที่ทักไปถามได้ มีคนรีวิวพอร์ตเรา คำถามคำถามเซ็ตเดียวกันนี่แหละ แต่ถามมันทุกคนเลย 55555

“ถ้าจะเก่ง 3D ใน 1 ปีต้องทำยังไงบ้างให้เก่งไวๆ” “สตูดิโอใหญ่ๆ อยากทำงานกับอินเทิร์นแบบไหน”

“ทำยังไงถึงจะได้ทำงานที่ x เขามองหาคนโปรไฟล์แบบไหนอยู่”

“ถ้าคุณย้อนกลับไปหาตัวเองสมัยเป็นบิกินเนอร์ได้ จะบอกตัวเองว่าอะไร”

(แค่ถามเฉยๆ ทำฝรั่งกลัวเราไปหลายคนเลย)

สกิลการถามได้มาจากการเป็นนักวิจัยที่ลงพื้นที่สัมภาษณ์ที่ไทย รู้สึกขอบคุณที่ทำงานเก่าทุกวันเลยที่มีโอกาสได้ทำงานนี้)

บางทีอีเมลไปขอสัมภาษณ์คนเก่งๆ ในวงการ บอกเขาว่าเป็นการบ้านที่โรงเรียนให้สัมภาษณ์ คือ การบ้านจริงแหละ แต่แค่คนเดียวก็พอ เรานี่จัดไป 4 คน ก่อนสัมเราจะดูงานของเขาอย่างละเอียด วิเคราะห์ และหาจุดที่สนใจไปคุยกับเขา ถามว่าอันนั้นทำยังไง อันนี้ทำยังไง กดปุ่มไหน ตั้งค่ายังไง บางคนนัดเรากินกาแฟด้วยเลย

คนเก่งๆ ชั้นนำของโลก เขาจะชอบคนที่ไฟแรง อยากเรียนรู้ ยิ่งเห็นนักเรียนกระตือรือร้นเขายิ่งมีแต่อยากจะให้ แววตาของเรานี่แหละที่เติมเชื้อไฟให้เขา

(เพราะคนที่ไปถึงระดับนั้นบางทีเขาก็มีมุมที่เบื่อชีวิตนะ เพราะไม่รู้ว่าจะฝันอะไรต่อ ที่ฝันไว้สมัยเด็กๆ บรรลุหมดแล้วจนชีวิตมันนิ่ง been there done that)

เรานี่แหละสีสันชีวิตของเขา ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจ ถามไปเลย เขาจะปริ่มใจมากที่ได้ช่วยเรา เดี๋ยวเขาไม่ว่าง มีธุระ เขาจะบอกเราเอง (ไม่ก็ไม่ตอบข้อความ)

เรามีหน้าที่ถาม ส่วนการ say no นั้นเป็นเรื่องของเขา

4. ไปอยู่ให้ถูกที่ถูกทางและเข้ากับ norm ของสังคมนั้นให้ได้

เราเป็นคนชอบอะไรแหวกๆ เป็นคนแปลกชอบชวนคนคุยเรื่อง taboo ไม่ชอบทำตามคนอื่น freethinking, intellectual ชอบคบเพื่อนเป็นคนๆ มากกว่าเป็นกลุ่มๆ และชอบจังหวะชีวิตที่ fast-paced ดังนั้น เราต้องอยู่เมืองหลวงของประเทศใหญ่ๆ อย่างน้อยๆ ต้องระดับเยอรมันอย่าง Berlin จะถูกจริตเรากว่ามาก

เมืองเล็กๆ ที่ๆ คนอยู่กันเป็นก๊กๆ ก๊วนๆ จับเป็นกลุ่มเล็กๆ คือที่ห้ามไป เพราะจะมีแรงกดดันที่ต้องเข้าสังคมเป็นกลุ่ม ทำตัวแปลกแยกไม่ได้ เมืองเล็กข่าวลือสะพัดไว เดินไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก (ลองแล้ว ไม่เวิร์ค 555)

การได้อยู่ในเมืองที่ถูกจริตเรานี่เป็นเรื่องสำคัญกับการเน็ตเวิร์กและโอกาสก้าวหน้าในด้านการงานมาก ถ้านิสัยไม่เข้ากับคนท้องถิ่นที่นั่น เขาไม่รู้สึกถูกชะตากับเรา ใครเขาจะอยากมอบโอกาสดีๆ ให้

เพราะตลาดงานที่แท้จริงคือตำแหน่งที่ไม่ได้ประกาศบน LinkedIn ที่รู้มาเดี๋ยวนี้บางทีเขาใช้บ็อตคัดโปรไฟล์ แสกนหาคีย์เวิร์ดบนเรซูเม่

ดังนั้นให้ดีที่สุดคือต้องพาตัวไปรู้จักคนให้งาน ใครก็ตามที่มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อนสวีดิชแนะนำมาว่าให้ทักแชท LinkedIn ไปแนะนำตัวกับนายจ้างไปเลย

แต่อย่าไปคาดหวังว่าทุกคนที่รู้จักจะให้อะไรเราได้ ดวงก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะบริษัทหรือสตูดิโอดีๆ เขาจะรับเด็กฝึกงานแค่ปีละ 1–2 คน แล้วให้อยู่ 6 เดือน ไม่มากไปกว่านั้นเพื่อรักษาคุณภาพ รับมากกว่านี้คือหลอกเด็กมาใช้แรงงาน เราเคยโดนมาแล้ว 555

5. ลืมคำว่า “หน้าแตก” “เสียหน้า” ไปให้หมด ไม่เป็นคนหน้าบางหรือเปราะบางจนเกินไป

คนไทยเราจะติดกับการคีพลุค ต้องดูเหมือนกับว่าเรารู้ทุกอย่าง เราทำได้ เราปรีชาสามารถในทุกด้าน เรื่องผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก น่าอาย คนจะนินทาเอา

แต่สิ่งนี้ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองเท่าไหร่ คนที่ไม่ได้รู้ทุกเรื่องแต่อยากรู้อยู่เสมอนั้นเท่กว่านะ และคนที่นินทาเมื่อคนอื่นผิดพลาดนี่เราคงไม่ต้องเอาเข้ามาในชีวิตเช่นกัน คนแบบนี้มองข้ามไปได้เลย

ที่บอกว่าไม่ให้เปราะบางจนเกินไปนั้นเป็นเพราะในเมืองนอกเขาจะมีวัฒนธรรมแปลกๆ ไปจากเรา ถ้าเราเปราะบางเกินไปเราอาจจะทนกับความต่างนี้ไม่ได้ วิธีแก้คือมีเป้าหมาย “ทนไปเพราะอะไร” นึกถึงสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า นึกถึงว่าแล้วที่เจอมานี้ดียังไง เพราะ He who has a why can bear any how : ) หาเพื่อนช่วยรีเฟล็กท์ อ่านตามเว็บบอร์ดคนที่มีประสบการณ์เหมือนเราก็ช่วยได้

ปัญหาใดๆ ก็ตามถ้าเราเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจตัวเองและคนอื่น เราจะปลงได้ พูดจากใจคนที่ไม่ใช่สายปล่อยวาง เราว่าการปล่อยวางนั้นไม่เกิดประโยชน์ ไม่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันแค่หยุดคิดชั่วคราว ซึ่งก็ไม่ได้หยุดได้จริงเสมอไป หาความรู้นี่แหละรักษาได้ทุกปัญหา

6. มีมารยาทดีกับทุกคนเสมอ แต่รู้ทันคน

เราต้องรู้ว่าใครทำอะไรให้เราได้ เป็นเพื่อน เป็นเน็ตเวิร์ก เป็นแค่คนรู้จักก็พอ (หรือไม่รู้จักกันเลยน่าจะดีกว่า 555)

หลายๆ คนไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เราก็ได้ เป็นแค่คนน้ำดี พลังงานดีๆ กัลยาณมิตรก็พอแล้ว การมีคนรอบตัวดีๆ เยอะๆ มันจะทำให้เรารู้สึกปลอดภัย จิตใจเบาบาง หัวโล่งสบาย จะคิดจะทำอะไรก็คล่องมือ คล่องตัว รู้สึกได้รับการสนับสนุนเสมอ

กับคนในชีวิตเราต้องจัดระยะห่างให้ถูก หาระยะที่เหมาะสมกับเขาที่เราจะอยู่ร่วมโลกกันได้ เฟรนด์ลี่ ชวนคุยเยอะๆ เมื่ออยากสนิทกัน นิ่งใส่เมื่อเราจะไว้ตัว

เราไม่ควรเฟรนด์ลี่กับทุกคนเพียงเพราะเราสุภาพ เพราะมันจะดึงดูดคนแปลกๆ เข้ามาเยอะ เช่น สโตล์กเกอร์ คนแก่ขี้เหงาจอมแต๊ะอั๋ง ฯลฯ แต่ควรเฟรนด์ลี่กับคนที่สมควรได้รับมันจริงๆ

คนไทยเราไม่ค่อยซับซ้อน คุยง่าย แต่ถ้าไปเมืองนอกแล้ว เฟรนด์ลี่เกินไปจะทำให้ถูกทำร้ายได้ง่าย หากไม่ระวัง ถ้าไม่ถูกตักตวงผลประโยชน์ ก็อาจจะถูก sexually harassed ได้

อีกอย่างทำให้ได้รู้ว่าอย่าเป็นคนอะไรก็ได้เพียงเพื่อให้คนอื่นชอบ โดยเฉพาะเวลาทำงาน เพราะเขาก็จะไม่ take เรา seriously จะถูกเมินและมองข้าม แล้วพอเราเริ่มแสดงความคิดเห็นเขาจะเริ่มเอะอะหาเรื่องว่าเรา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ลึกๆ เองก็คือทำนองว่าอย่ามาแข็งข้อ ทีเมื่อก่อนยังเงียบได้เลย คนแบบนี้เราเจอมาหมดทั้งเอเชียและฝรั่ง

และเน็ตเวิร์กให้กว้างๆ ก็จริง แต่ไม่ต้องไปคิดมากถ้าใครๆ เขาไม่ได้ดั่งใจ เพราะหลายๆ คอนเนคชั่นก็ไม่ได้จะใช้วันนี้พรุ่งนี้ ต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเองก่อน และบางคอนเนคชั่นก็ไม่ได้มีคุณภาพดีขนาดนั้น

ความกระตือรือร้นในชีวิตนี่แหละจะบอกได้ว่าคอนเนคชั่นนี้คุณภาพดีไหม ไม่จำเป็นว่าจะต้องมี achievement เสมอไป เพราะเขาเองก็กำลังสร้างตัวอยู่ คนที่ growth mindset ไม่แข็งแรง คน passive รอแต่จะให้โชคชะตามันพาไป ถามจริงจะเอาคอนเนคชั่นอะไรมาให้เรา เราเองก็ต้องรู้คุณค่าในตัวเองเหมือนกันว่าเรานี่แหละเป็นคอนเนคชั่นที่ดี

ซึ่งไม่ยากเลย มี work ethics ที่ดี ขยันมีผลงานให้เห็น รักษาคำพูด และหวังดีกับคนอื่นอย่างแท้จริง คนแบบนี้ไปที่ไหนใครเขาก็เกรงขาม จะไม่มีใครกล้ายุ่ง กล้าพูดอะไรไม่ดีด้วย และยิ่งถ้าเราเป็นคนมีวินัย คนเขาก็จะยิ่งเกรงใจและเคารพเรามากขึ้นไปอีก

คนมีวินัยในตัวเองนี่แหละที่คนส่วนมากบนโลกจะให้ความเคารพสูงสุด

--

--